แม้จะมีการออกกฏบังคับให้ระงับกิจกรรมนอกสถานที่เป็นเวลา 12 สัปดาห์ แต่งานก็ยังคงดำเนินต่อไปอย่างรวดเร็วเบื้องหลังโครงการ Edinburgh St James มูลค่า 1 พันล้านปอนด์
ด้วยเทคโนโลยี Digital ทำให้นักออกแบบ, วิศวกรและผู้รับเหมาสามารถพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสครับ
ผลจากข้อจำกัดในไซต์ก่อสร้าง นักออกแบบและวิศวกรจึงต้องพึ่งพาเครื่องมือการทำงานร่วมกันแบบดิจิทัล และการใช้ Building Information Modeling (BIM) มากขึ้น นอกจากนี้โซลูชันการออกแบบและการก่อสร้างเสมือนจริงยังได้รับการพัฒนาให้ใช้งานได้ตั้งแต่ต้นจนจบโครงการ
ตั้งแต่แนวคิดโครงการ (Conceptual Design) ไปจนถึงการว่าจ้างโครงการที่ซับซ้อนที่สุดโครงการนึงในสกอตแลนด์
BDP Glasgow Studio เป็นบริษัทสถาปนิกและที่ปรึกษาหลักของโครงการ Edinburgh St James โดยมีบริษัท Nuveen Real Estate เป็นเจ้าของโครงการและมีบริษัท Laing O’Rourke เป็นผู้รับเหมาก่อสร้างหลัก
Chris Hughes สถาปนิกของ BDP Glasgow Studio ได้ทำงานในโครงการขนาดใหญ่โดยใช้ BIM และเขาได้เห็นพัฒนาการที่เห็นได้ชัดเจนในความซับซ้อนของโครงการนี้
โดยในโครงการนี้ใช้ BIM เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการที่ช่วยให้ทุกฝ่ายทำงานร่วมกัน โดยใช้ 3D Model ของโครงการทำงานแบบ Realtime ของอาคารเพื่อตรวจสอบกระบวนการก่อสร้าง, การจัดลำดับ และบริหารวัสดุหน้าไซต์ก่อนที่ของจะมาถึง
โครงการนี้ได้สร้างการจำลองเสมือนจริงของไซต์ด้วยแนวทางแบบ Design for Manufacture and Assembly (DFMA) เพื่อสร้างแบบจำลอง และรวมเข้ากับระบบการตรวจรับงาน ทำให้ได้แบบ As-Built ที่มีข้อมูลตรงตามหน้างาน เพื่อนำข้อมูลที่ได้ไปใช้งานต่อ
การใช้โมเดลสามมิตินี้ได้รับการตรวจสอบบน Cloud จากทุกฝ่ายดังนั้นจึงมั่นใจได้ก่อนที่จะมีการผลิตเพิ่มเติม แบบจำลองที่ซับซ้อนยังช่วยอำนวยความสะดวกในการตรวจสอบ ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องเยี่ยมชมไซต์จริง โครงการนี้ใช้ระบบการจับภาพเสมือนจริงบนคลาวด์ ซึ่งคล้ายกับที่ใช้ใน Google Maps สิ่งนี้ช่วยให้ผู้ใช้บริหารลำดับของงานก่อสร้างได้
“เราทุกคนสามารถนั่งอยู่ที่บ้านและทำความเข้าใจและติดตามงานต่างๆ ตามลำดับเวลา ตั้งแต่การดูแผงหินที่โรงงานเพื่อตรวจสอบการส่งไปยังไซต์และตำแหน่งติดตั้ง นอกจากนี้เรายังสามารถดูแผนการที่แสดงคำแนะนำโดยละเอียดที่ผู้รับเหมาใช้เกี่ยวกับวิธีการประกอบและติดตั้ง”
นอกจากนี้ยังมีการอัปเดตการประชุมทางวิดีโอเป็นประจำ
Laing O’Rourke (ผู้รับเหมาก่อสร้างหลัก) มีซัพพลายเชนที่ใช้ DFMA ภายในองค์กรและความสามารถของ BIM ที่ใช้ข้อมูลเพื่อขับเคลื่อนกระบวนการผลิตนอกสถานที่ ช่วยให้พัฒนาการทำงานร่วมกันได้ดีขึ้น กระบวนการนี้ยังช่วยให้เกิดความร่วมมืออย่างใกล้ชิดระหว่างทีมงานในอังกฤษและต่างประเทศ ระบบทั้งหมดถูกนำมาใช้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้นเพื่อให้สามารถออกแบบรายละเอียดและประสานงานได้จากระยะไกล
ฮิวจ์ให้ความเห็นว่า “BIM นั้นเป็นเพียงรูปแบบการทำงาน ซึ่งช่วยให้แนวคิดของผู้ออกแบบรวมอยู่ในโมเดล และมีการอัปเดตอยู่ตลอดเวลา เพื่อป้องกันข้อผิดพลาดใดๆ ที่จะเกิดขึ้นได้”
“ในขณะที่งานหน้าไซต์งานหยุดทำงาน การออกแบบ, การประสานงานและการผลิตนอกสถานที่ยังคงดำเนินต่อไป นอกจากนี้เรายังปรับปรุงงานนี้โดยใช้แนวคิดของ Digital Twin เป็นโซลูชันใหม่ที่ใช้กำหนดระยะเวลาในการจัดส่งและลำดับของงานได้ ในขณะเดียวกันลูกค้าสามารถใช้แบบจำลองเพื่อดูความคืบหน้าของงานจากระยะไกล และเทำให้ผู้ร่วมงานสามารถใช้เทคโนโลยี VR เพื่อเดินไปรอบ ๆ พื้นที่และกำหนดแผนการของตนเองสำหรับการทำงาน
“การใช้ Digital Twin เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้คุณสามารถคาดเดาแผนการทำงานและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานได้ “
“เรากำลังขยายการใช้งาน Point Cloud เพื่อให้สัมพันธ์กับหน้างาน โดยต้องการให้สามารถเชื่อมต่อกลับไปยังโมเดล Digital Twin ได้ ตัวอย่างเช่นที่ การรวมข้อมูลของโครงสร้างจากหน้างานจริงด้วยข้อมูลจาก Point Cloud รวมเข้ากับข้อมูล DFMA
ในโลกใหม่ วงการก่อสร้างจำเป็นต้องใช้การทำงานจากระยะไกล Digital Twin จะกลายเป็นสิ่งที่นักออกแบบและผู้รับเหมาหลักใช้ในการพัฒนาโซลูชัน เพื่อเพิ่มความแม่นยำ”
ฮิวจ์สรุปว่า “สิ่งที่เราเรียนรู้จากการทำงานโครงการนี้จากระยะไกลก็คือเรายังไม่ได้แขวนหมวกซะทีเดียว เพราะมีเรายังคงไปไซต์เสมอ แต่เราตระหนักดีว่าเราได้สร้างความร่วมมือ พัฒนาการใช้ Digital Platform และสิ่งนี้จะมีบทบาทสำคัญในการจัดระเบียบโลกใหม่”
ที่มา : https://www.bimplus.co.uk/projects/digital-collaboration-heart-edinburgh-st-james-pro/
ThaiBIM: Thai Building Information Modeling 